ข้อเสียของอาหาร GMOs

14:13:00 Unknown 0 Comments



ข้อเสียของอาหาร GMOs
(Karl Weber , 2555) มีผลเสียในหลายๆด้าน คือ
ชีวพิษและสารพิษ เห็นได้ชัดว่าผลิตภัณฑ์ดัดแปรพันธุกรรมมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นพิษและเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพมนุษย์ ในปี 1989 อาหารเสริมธรรมดาที่เกิดจากการทำพันธุวิศวกรรมตราสินค้า 1-ทริปโทแฟน ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตไป 37 คน กว่าที่องค์กรการอาหารและยาสหรัฐจะเรียกเก็บออกจากตลาด ก็มีคนอีกมากกว่า 5,000 คนพิการถาวรหรือไม่ก็ทรมานจากกลุ่มอาการเอียซิโนฟิเลีย มายแอลเจีย ซินโดรม (eosinophilia myalgia syndrome-EMS) ซึ่งเป็นความผิดปกติของเลือดที่ทำให้เจ็บปวดกล้ามเนื้อและอาจถึงแก่ชีวิต บริษัทโชวะ เด็งโคะผู้ผลิต ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ใหญ่เป็นอันดับที่สามของญี่ปุ่นได้ใช้แบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมเป็นครั้งแรกในปี 1988-1989 ในการผลิตอาหารเสริมขายตรง เชื่อกันว่าแบคทีเรียเกิดปนเปื้อนระหว่างกระบวนการสร้างดีเอ็นเอลูกผสม บริษัทโชวะ เด็งโคะต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่เหยื่อ EMS เป็นเงินมากกว่าสองพันล้านดอลลาร์
                ในปี 1999 ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อังกฤษเปิดเผยการค้าพบงานวิจัยของ ดร.อาร์พัด พุสซ์ไท นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันราวเอ็ตต์ (Rowett Institute) รายงานที่อาจเป็นประเด็นโต้แย้งนี้กล่าวว่า มันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มันฝรั่งเหล่านี้ถูกต่อกับดีเอ็นเอของต้นสโนว์ดร็อปและไวรัสที่ทำให้เกิดใบด่างในต้นกะหล่ำดอก (cauliflower mosaic virus-CAMV) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นฤทธิ์ทางเคมีของไวรัสที่ใช้กันทั่วไป มันฝรั่งสโนว์ดร็อปดัดแปรพันธุกรรมมีองค์ประกอบทางเคมีต่างจากมันฝรั่งธรรมดามาก และเมื่อเอาเลี้ยงหนูทดลอง ปรากฏว่ามันทำลายอวัยวะสำคัญและระบบภูมิคุ้มกันของหนู เห็นได้ชัดว่าความเสียหายที่เยื่อบุท้องของหนูทดลองเกิดจากสารกระตุ้นฤทธิ์ทางเคมีของไวรัส CAMV และทำให้หนูติดเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง เรื่องที่น่าตกใจที่สุดคือ สารกระตุ้นฤทธิ์ทางเคมีของไวรัส CAMV ถูกใช้ต่อเข้ากับพืชผลและอาหารดัดแปรพันธุกรรมแทบทุกชนิด
                โชคไม่ดีที่งานวิจัยริเริ่มสร้างสรรค์ของ ดร.พุสซ์ไทไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาถูกรัฐบาลระงับเงินทุนและถูกไล่ออกหลังจากที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มีนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมสามารถเพิ่มระดับของชีวพิษในพืชตามธรรมชาติหรือเพิ่มระดับสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร (หรือสร้างชีวพิษชนิดใหม่ขึ้น) ด้วยวิธีที่ไม่คาดฝันด้วยการไปทำให้ยีนที่ผลิตพิษทำงาน เนื่องจากปัจจุบัน องค์กรที่มีอำนาจควบคุมไม่ต้องการให้มีการทดสอบในสัตว์ทดลองและให้มนุษย์ทดลองกิน รวมถึงทดสอบทางเคมีอย่างละเอียดแบบที่ ดร.พุสซ์ไททำเวลานี้ผู้บริโภคจึงกลายเป็นหนูทดลองในการทดลองทางพันธุกรรมครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัว ดร.พุสซ์ไทเตือนว่า จงนึกถึงวิลเลี่ยม เทลล์ ที่กำลังยิงลูกธนูไปที่เป้า ทีนี้ให้ปิดตาคนยิง นั่นละคือความเป็นจริงของพันธุวิศวกรรมที่ใช้วิธีต่อยีน
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ปี 1994 องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติให้มอนซานโต้ขายฮอร์โมน rBGH ที่เป็นประเด็นโต้เถียงในสังคมได้ ฮอร์โมนดัดแปรพันธุกรรมชนิดนี้ฉีดให้วัวนมเพื่อให้วัวผลิตน้ำนมมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าระดับของฮอร์โมนเคมีฤทธิ์แรง IGF-1 (insulin-like growth factor) ที่สูงขึ้นอย่างมีผลสำคัญ (400-500 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงกว่านี้) ในนมและผลิตภัณฑ์นมจากวัวที่ถูกฉีดฮอร์โมน rBGH สามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีงานศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ที่มีระดับฮอร์โมน IGF-1 ในร่างการสูงกว่าปกติมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมะเร็งสูงขึ้นมาก องค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องนี้ของรัฐสภาสหรัฐคือ สำนักงานบัญชีกลาง (The Government Accountability Office-GAO) สั่งห้ามองค์การอาหารและยาอนุมัติฮอร์โมน rBGH โดยแย้งว่าการฉีดฮอร์โมน rBGH ให้วัวทำให้อัตรากาติดเชื้อเต้านมสูงขึ้น ส่งผลให้ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมากขึ้น ในด้านสาธารณสุขแล้ว การใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้ ปี 1998 นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลแคนาดาเปิดเผยเอกสารมอนซานโต้/องค์การอาหารและยาที่เคยถูกระงับไปก่อนหน้า เอกสารแสดงให้เห็นอันตรายที่เกิดกับหนูทดลองที่กินฮอร์โมน rBGH ฮอร์โมน rBGH ที่แทรกซึมเข้าไปในต่อมลูกหมากของหนูและถึงต่อไทรอยด์ในระดับที่มีนัยยะสำคัญ แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอันตรายจากโรคมะเร็งอันเนื่องมาจากยาชนิดนี้ ต่อมาในต้นปี 1999 รัฐบาลแคนาดาจึงห้ามการใช้ฮอร์โมน rBGH สหภาพยุโรปห้ามใช้มาตั้งแต่ปี 1994 กระนั้นยังคงมีการฉีด rBGH ให้วัวนม 10 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐไม่มีประเทศอุตสาหกรรมประเทศไหนอีกแล้วที่อนุญาตให้ใช้ฮอร์โมนชนิดนี้อย่างถูกกฎหมาย แก็ตต์ โคเด็กซ์ แอลิเมนเทเรียส (The GATT Codex Alimentarius) ซึ่งเป็นองค์กรมาตรฐานว่าด้วยอาหารแห่งสหประชาชาติปฏิเสธที่จะรับรองว่าฮอร์โมน rBGH มีความปลอดภัย
                ภูมิแพ้อาหาร ปี 1996 หายนะของอาหารดัดแปรพันธุกรรมครั้งใหญ่ถูกตีกรอบให้แคบลงเมื่อนักวิจัยจากมลรัฐเนแบรสกาศึกษาพบว่า ยีนของถั่วบลาซิล (Brazil nut) ที่นำไปต่อกับถั่วเหลืองสามารถทำให้คนที่ไวต่อถั่วบลาซิลเกิดอาการภูมิแพ้ที่อาจทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้ การทดลองถั่วเหลืองต่อยีนถั่วบราซิลในสัตว์มีผลเป็นลบ คนที่แพ้อาหาร (ปัจจุบันมีเด็กอเมริกันป่วยเป็นโรคนี้ 8 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งมีอาการตั้งแต่ไม่สบายเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงเสียชีวิตทันที อาจมีอันตรายเมื่อได้รับโปรตีนแปลกปลอมที่นำไปต่อกับผลิตภัณฑ์อาหารธรรมดา เนื่องจากโปรตีนแปลกปลอมส่วนมากที่ยีนของมันถูกนำไปต่อกับอาหารต่างๆ เป็นโปรตีนที่มนุษย์ไม่เคยกิน การทดสอบเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนนำออกสู่ตลาด (รวมทั้งการศึกษาโดยให้สัตว์กินเป็นระยะเวลานานและให้อาสาสมัครมนุษย์กิน) จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อป้องกันหายนะทางสาธารณสุขในอนาคต การติดฉลากตามที่กฎหมายกำหนดก็เป็นเรื่องจำเป็นด้วยเช่นกัน เพื่อให้ผู้เป็นภูมิแพ้อาหารสามารถหลีกเลี่ยงอาหารดัดแปรพันธุกรรมที่เป็นอันตรายได้และเพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถติดตามสืบสารภูมิแพ้กลับไปหาแหล่งที่มาหากมีการระบาดของอาการภูมิแพ้อาหารที่เกิดจากการดัดแปรพันธุกรรม
                ฤดูใบไม้ร่วงปี 2001 กลุ่มรักษาผลประโยชน์ส่วนมากหลายกลุ่มรวมถึงกลุ่มมิตรของโลก (Friends of the Earth) และสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์เปิดเผยว่า การทดสอบในห้องทดลองชี้ว่ามีการตรวจพบสตาร์ลิงค์ในขนมปังเชลล์ ตราสินค้าทาโก้เบลล์ของบริษัทคราฟต์ และผลิตภัณฑ์ตราสินค้าอื่นๆอีกมาก สตาร์ลิงค์เป็นพันธุ์ข้าวโพดต่อบีที ที่เกิดจากการดัดแปรพันธุกรรมซึ่งผิดกฎหมายและเป็นไปได้ว่าจะก่อให้เกิดภูมิแพ้ สื่อได้รายงานข่าวการโต้แย้งเรื่องสตาร์ลิงค์อย่างกว้างขวาง ผลคือมีการเรียกเก็บคืนผลิตภัณฑ์อาหารและเมล็ดพันธุ์มูลค่าหลายร้อยดอลลาร์
                ความเสียหายต่อคุณภาพอาหารและโภชนาการ งานชิ้นหนึ่งของ ดร.มาร์ก แลปเป้ ที่ตีพิมพ์ในวารสารอาหารรักษาโรค (Journal of Medicinal Food) ในปี 1999 พบว่า ถั่วเหลืองดัดแปรพันธุกรรมมีสารประกอบฟายโตเอสโทรเจนเข้มข้นที่มีประโยชน์ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งน้อยกว่าในถั่วเหลืองสายพันธุ์ดังเดิม การศึกษาเหล่านี้รวมทั้งการศึกษาอื่นๆ เช่น ของ ดร.พุสซ์ไท แสดงให้เห็นว่าอาหารดัดแปรพันธุกรรมมีแนวโน้มจะมีคุณภาพและประโยชน์ทางโภชนาการน้อยลง ตัวอย่างเช่น นมจากวัวที่ฉีดฮอร์โมน rBGH จะมีน้ำหนอง แบคทีเรีย และไขมัน ในระดับสูงขึ้น
                ความต้านทานสารปฏิชีวนะ เมื่อนักพันธุวิศวกรรมต่อยีนแปลกปลอมเข้ากับพืชหรือจุลินทรีย์พวกเขามักนำไปติดกับยีนอีกตัวหนึ่ง ที่เรียกว่าตัวชี้บ่งต้านทานยาปฏิชีวนะ (antibiotic resistance maker gene-ARM) มันช่วยบอกว่ายีนตัวแรกติดกับจุลินทรีย์ให้อาศัย (host organism) สำเร็จหรือไม่ นักวิจัยบางคนเตือนว่ายีน ARM เหล่านี้อาจไปรวมใหม่อย่างคาดไม่ถึงกับแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ก่อโรคในสิ่งแวดล้อม ในทางเดินอาหารสัตว์หรือในคนที่กินอาหารดัดแปรพันธุกรรม การรวมตัวครั้งใหม่นี้อาจนำไปสู่เหตุร้ายด้านสาธารณสุขคือ ทำให้ความต้านทานสารปฏิชีวนะทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ยาปฏิชีวนะธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรักษาได้ เช่น แบคทีเรียแซลโมเนลลาสายพันธุ์ใหม่ อี.โคไล แคมพิโลแบคเตอร์ และเอ็นเทโรค็อกคัส นักวิจัยชาวเยอรมันพบแบคทีเรียต้านทานยาปฏิชีวนะในทางเดินอาหารผึ้งที่กินต้นเรป (คาโนลา) ดัดแปลงพันธุกรรม ปัจจุบันเจ้าหน้าที่สหภายุโรปกำลังพิจารณาสั่งห้ามอาหารดัดแปรพันธุกรรมทั้งหมดที่มียีนตัวบ่งชี้ต้านทานยาปฏิชีวนะ
                สารตกค้างจากยาฆ่าแมลงสูงขึ้น การศึกษาเมื่อเร็วๆนี้พบว่าเกษตรกรในสหรัฐที่ปลูกพืชดัดแปรพันธุกรรมใช้ยาปราบศัตรูพืชและยาฆ่าวัชพืชที่เป็นพิษมากพอๆ กับเกษตรกรที่ปลูกแบบทั่วไป และในบางกรณีใช้มากกว่าด้วย นี่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ พืชผลที่ถูกดัดแปรพันธุกรรมให้ทนต่อยาฆ่าวัชพืชมีมากถึงเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของพืชดัดแปรพันธุกรรมทั้งหมดที่ปลูกในปี 2000 ข้อดี ของพืชผลต้านทานยาฆ่าวัชพืชเหล่านี้คือ เกษตรกรสามารถพ่นยาฆ่าวัชพืชชนิดพิเศษจำเพาะใส่พืชผลของตนได้มากเท่าที่ต้องการเพื่อฆ่าวัชพืชโดยไม่เป็นอันตรายต่อพืชผล นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าพืชผลต้านทานยาฆ่าวัชพืชที่ปลูกกันทั่วโลกจะทำให้มีการใช้ยาฆ่าวัชพืชที่มีพิษและมีประสิทธิภาพครอบคลุมกว้างขวางในการเกษตรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ยาฆ่าวัชพืชที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมกว้างขวางเหล่านี้ผลิตมาให้สังหารทุกอย่างที่เป็นสีเขียว ผู้นำเทคโนโลยีชีวภาพก็คือบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ที่ขายยาฆ่าแมลงมีพิษนั่นเอง ได้แก่ มอนซานโต้ ดูปองต์ อเวนติส และซินเจนต้า (เป็นการควบรวมกิจการระหว่างโรวาติสกับแอสตร้า-ซีเนก้า) นอกจากนี้ บริษัทที่สร้างพืชดัดแปรพันธุกรรมต้านทานยาฆ่าวัชพืชยังเป็นบริษัทเดียวกับที่ขายยาฆ่าวัชพืชด้วย เกษตรกรกำลังจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อยาฆ่าวัชพืชจากบริษัทเดียวกับที่ขายเมล็ดพันธุ์ดัดแปรพันธุกรรมต้านทานยาวัชพืชให้พวกเขา
                มลพิษทางพันธุกรรม  มลพิษทางพันธุกรรม และความเสียหายที่ตามมาจากพืชผลในไร่นาดัดแปรพันธุกรรมเริ่มสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ลม ฝน นก ผึ้ง และแมลงซึ่งเป็นพาหะถ่ายเรณู เริ่มพาเอาเรณูดัดแปรพันธุกรรมไปสู่ไร่นาใกล้เคียง และปนเปื้อนกับดีเอ็นเอพืชผลเกษตรอินทรีย์และที่ไม่ใช่อินทรีย์ ไร่เกษตรอินทรีย์ในมลรัฐเท็กซัสปนเปื้อนสารพันธุกรรมของพืชดัดแปรพันธุกรรมจากไร่ใกล้ๆ กันที่ลอยมาตามลม ผู้มีอำนาจในการบังคับควบคุมของสหภาพยโรปกำลังพิจารณากำหนด ขอบเขตที่อนุญาตได้ สำหรับอาหารที่ไม่ได้ดัดแปรพันธุกรรมแต่ถูกปนเปื้อนทางพันธุกรรม เพราะเชื่อว่ามลพิษทางพันธุกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
                เนื่องจากพืชดัดแปรพันธุกรรมนั้นโดยตัวของมันเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาไม่ได้เสียยิ่งกว่าสารมลพิษที่เป็นเคมี เพราะมันสามารถสืบพันธุ์ ย้ายที่ และกลายพันธุ์ได้ เมื่อปล่อยออกไปแล้ว จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมกลับมาสู่ห้องทดลองหรือไร่นา
                ความเสียหายต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินและแมลงที่มีประโยชน์ ปี 1999 นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ค้นพบเรื่องน่าตก พวกเขาพบว่าเรณูจากข้าวโพดบีทีดัดแปรพันธุกรรมเป็นพิษต่อผีเสื้อโมนาร์ค การศึกษานี้ไปเพิ่มจำนวนหลักฐาน(ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ)ที่ทำให้เชื่อว่าพืชดัดแปรพันธุกรรมส่งผลที่เป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยชน์จำนวนมาก เช่น เต่าทองและแมลงปีกใส รวมถึงผึ้ง จุลินทรีย์ในดินที่มีประโยชน์ และเป็นไปได้ว่านกด้วย
                การสร้างซูเปอร์วัชพืชและ ซูเปอร์ศัตรูพืชดัดแปรพันธุกรรม การดัดแปรพันธุกรรมพืชผลเพื่อให้ต้านทานยาฆ่าวัชพืชหรือเพื่อให้ผลิตสารปราบศัตรูพืชด้วยตนเองทำให้เกิดอันตราย ศัตรูพืชและวัชพืชจะสามารถต้านทานยาปราบศัตรูพืชและยาฆ่าวัชพืชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องใช้เคมีที่มีพิษมากขึ้น แรงขึ้น เพื่อกำจัดศัตรูพืช ซูเปอร์วัชพืชที่ต้านทานยาฆ่าวัชพืชได้เกิดขึ้นแล้ว พืชผลดัดแปรพันธุกรรม เช่น เมล็ดต้นเรป (คาโนลา) ได้แพร่กระจายสายพันธุ์ต้านทานยาฆ่าวัชพืชไปสู่วัชพืชที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ต้นมัสตาร์ดป่า การทดสอบในห้องทดลองและในไร่นายังชี้ว่าศัตรูพืชธรรมดา เช่น หนอนเจาะสมอฝ้ายซึ่งอยู่ภายใต้การกดข่มของพืชดัดแปรพันธุกรรมอย่างต่อเนื่องในไม่ช้าจะพัฒนาไปเป็น ซูเปอร์ศัตรูพืช มันจะมีภูมิต้านทานต่อการพ่นยาปราบศัตรูพืชบีทีและยาปราบศัตรูพืชชีวภาพที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์ นี่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืนเพราะการกำจัดศัตรูพืชด้วยวิธีชีวภาพจะไม่สามารถรับมือจำนวนซูเปอร์วัชพืชและซูเปอร์ศัตรูพืชที่เพิ่มขึ้นได้
                ไวรัสและจุลชีพก่อโรคชนิดใหม่ การต่อยีนจะให้ผลที่คาดเดาไม่ได้และทำให้เกิดอันตรายแบบคาดไม่ถึงที่ทำลายพืชและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายปีก่อน นักวิจัยที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐมิชิแกนพบว่าการเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบใหม่ที่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์ในโอเรกอนพบว่าเคล็บซีเอลลา แพลนทิโคลา (Klebsiella planticola) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ดัดแปรพันธุกรรมในดิน ทำลายสารอาหารที่จำเป็นในดินจนไม่เหลือ ผู้เปิดโปงเรื่องนี้ซึ่งเป็นคนขององค์กรคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐประกาศคำเตือนลักษณะเดียวกันในปี 1997 โดยประท้วงรัฐบาลที่อนุมัติให้ใช้แบคทีเรียไรโซเบียม เมลิโทลี (Rhizobium melitoli) ซึ่งเป็นแบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมในดิน
                การรุกรานทางพันธุชีวภาพ เนื่องจากพืชและสัตว์ดัดแปรพันธุกรรมมียีนที่ เหนือกว่าจึงเลี่ยงไม่ได้ที่บางชนิดจะเที่ยวออกอาละวาด ทำลายสปีชีส์ในธรรมชาติแบบเดียวกับสปีชีส์ที่มาจากแหล่งอื่น (เช่น ต้นถั่วคุดซู และโรคดัตช์เอล์ม) สร้างปัญหาเมื่อมันเข้ามาในทวีปอเมริกาเหนือ ตัวอย่างเช่น หากนักวิทยาศาสตร์ปล่อยปลาคาร์ป ปลาแซลมอน และปลาเทราต์ที่ใหญ่และกินจุเป็นสองเท่าของสปีชีส์ในธรรมชาติไปในสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้นกับสปีชีส์ปลาและสัตว์ทะเลในธรรมชาติ
                อันตรายต่อสังคมและเศรษฐกิจ การจะสิทธิบัตรอาหารดัดแปรพันธุกรรมและการผลิตอาหารเทคโนโลยีชีวภาพซึ่งการกระทำอย่างกว้างขวางเป็นการคุกคามต่อการเกษตรที่ทำกันมากกว่า 12,000 ปี สิทธิบัตรดัดแปรพันธุกรรม เช่น เทคโนโลยีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator Technology) จะทำให้เมล็ดพันธุ์เป็นหมันและบีบให้เกษตรกรหลายร้อยล้านคนที่ตอนนี้เก็บสะสมและแบ่งปันเมล็ดพันธุ์กัน ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ดัดแปรพันธุกรรมและสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรที่มีราคาแพงกว่าจากผู้ผูกขาดเทคโนโลยีชีวภาพ/เมล็ดพันธุ์ระดับโลกซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่บริษัท ถ้าเราไม่หยุดแนวโน้มนี้ ในไม่ช้าการจดสิทธิบัตรพีชดัดแปรพันธุกรรมและสัตว์ที่ผลิตเพื่อเป็นอาหารจะนำไปสู่ ความเป็นทาสทางชีวภาพสากล เกษตรกรจะต้องเช่าพืชและสัตว์ของพวกเขาจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเช่นมอนซานโต้ และต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์และลูกหลานที่เกิดมา ครอบครัวและเกษตรกรท้องถิ่นจะถูกขับออกจากที่ดิน อาหารของผู้บริโภคจะถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้ผูกขาดของบรรษัทข้ามชาติ ชุมชนท้องถิ่นจะล่มสลาย เกษตรกรและแรงงานภาคการเกษตรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกจะต้องตกงาน
                อันตรายด้านจริยธรรม พันธุวิศวกรรมและการจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของสัตว์ คือการลดค่าของสิ่งมีชีวิตลงให้เป็นแค่ผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้น วิทยาศาสตร์แบบลดทอนบริสุทธิ์หรือเทคโนโลยีชีวภาพลดค่าทุกชีวิตลงจนเหลือเป็นแค่ข้อมูลเล็กๆ (รหัสพันธุกรรม) ที่สามารถนำไปจัดหรือเรียงใหม่ตามความคิดเพ้อฝันเมื่อถูกตัดความสมบูรณ์และคุณสมบัติที่จำเป็นออกไป สัตว์ซึ่งเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่งของ ผู้ประดิษฐ์ มันขึ้นมาก็จะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นแค่วัตถุ สิ่งของ ปัจจุบันมีสัตว์ ประหลาดที่เกิดจากการดัดแปรพันธุกรรมหลายร้อยชนิดคอยการอนุมัติสิทธิบัตรจากรัฐบาลกลาง เราได้แต่สงสัยว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนยีนอย่างขนานใหญ่และจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของสัตว์ได้ รายการต่อไปจะเป็น ทารกที่ได้จากการออกแบบดัดแปรพันธุกรรมใช่หรือไม่?




(มธุรา สิริจันทรัตน์, ที่มา :http://digital.lib.kmutt.ac.th/magazine/issue4/articles/article2.html)
ข้อเสียของ GMOs
                เทคโนโลยีทุกชนิดเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย ในกรณีของ GMOs นั้นข้อเสียคือ มีความเสี่ยงและความซับซ้อนในการบริหารจัดการเพื่อให้มีความปลอดภัยเพื่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ใดได้รับอันตรายจากการบริโภคอาหาร GMOs แต่ความกังวลต่อความเสี่ยงของการใช้ GMOs เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น กรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้
ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
                1. สารอาหารจาก GMOs อาจมีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น เคยมีข่าวว่า กรดอะมิโน L-Tryptophan ของบริษัท Showa Denko ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐเกิดอาการป่วยและล้มตาย อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วเป็นผลมาจากความบกพร่องในขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ (quality control) ทำให้มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่หลังจากกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มิใช่ตัว GMOs ที่เป็นอันตราย
                2. ความกังวลในเรื่องของการเป็นพาหะของสารพิษ เช่น ความกังวลที่ว่า DNA จากไวรัสที่ใช้ในการทำ GMOs อาจเป็นอันตราย เช่น การทดลองของ Dr.Pusztaiที่ทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มี lectinและพบว่าหนูมีภูมิคุ้มกันลดลง และมีอาการบวมผิดปกติของลำไส้ ซึ่งงานชิ้นนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการออกแบบการทดลองและวิธีการทดลองบกพร่อง ไม่ได้มาตรฐานตามหลักการวิทยาศาสตร์ ในขณะนี้เชื่อว่ากำลังมีความพยายามที่จะดำเนินการทดลองที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น และจะสามารถสรุปได้ว่าผลที่ปรากฏมาจากการตบแต่งทางพันธุกรรมหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น
                3. สารอาหารจาก GMOs อาจมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่าอาหารปกติในธรรมชาติ เช่น รายงานที่ว่าถั่วเหลืองที่ตัดแต่งพันธุกรรมมี isoflavoneมากกว่าถั่วเหลืองธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งสารชนิดนี้เป็นกลุ่มของสารที่เป็น phytoestrogen (ฮอร์โมนพืช) ทำให้มีความกังวลว่าการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กทารก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาผลกระทบของการเพิ่มปริมาณของสาร isoflavoneต่อกลุ่มผู้บริโภคด้วย
                4. ความกังวลต่อการเกิดสารภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งอาจได้มาจากแหล่งเดิมของยีนที่นำมาใช้ทำ GMOs นั้น ตัวอย่างที่เคยมีเช่น การใช้ยีนจากถั่ว Brazil nut มาทำ GMOs เพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีนในถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารสัตว์ จากการศึกษาที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการผลิตออกจำหน่าย พบว่าถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้ เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut บริษัทจึงได้ระงับการพัฒนา GMOs ชนิดนี้ไป อย่างไรก็ตามพืช GMOs อื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในโลกในขณะนี้ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้น ได้รับการประเมินแล้วว่าอัตราความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
               

                5. การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ปลอดภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่ในบางกรณี วัว หมู รวมทั้งสัตว์ชนิดอื่นที่ได้รับ recombinant growth hormone อาจมีคุณภาพที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และ/หรือมีสารตกค้างหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สัตว์มีระบบสรีระวิทยาที่ซับซ้อนมากกว่าพืช และเชื้อจุลินทรีย์ทำให้การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์อาจทำให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่คาดคิดได้ โดยอาจทำให้สัตว์มีลักษณะและคุณสมบัติเปลี่ยนไป และมีผลทำให้เกิดสารพิษอื่นๆ ที่เป็นสารตกค้างที่ไม่ปรารถนาขึ้นได้ การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง จึงควรต้องมีการพิจารณาขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่าเชื้อจุลินทรีย์และพืช
                6. ความกังวลเกี่ยวกับการดื้อยา กล่าวคือเนื่องจากใน marker gene มักจะใช้ยีนที่สร้างสารต่อต้านปฏิชีวนะ (antibiotic resistance) ดังนั้นจึงมีผู้กังวลว่าพืชใหม่ที่ได้อาจมีสารต้านปฏิชีวนะอยู่ด้วย ทำให้มีคำถามว่า 
                6.1 ถ้าผู้บริโภคอยู่ในระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะอยู่ อาจจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือไม่ เนื่องจากมีสารต้านทานยาปฏิชีวนะอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย และสามารถแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงได้
                6.2 ถ้าเชื้อแบคทีเรียที่ตามปกติมีอยู่ในร่างกายคนได้รับ marker gene ดังกล่าวเข้าไปโดยผนวก (integrate) เข้าอยู่ในโครโมโซมของมันเองก็จะทำให้เกิดแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อยาปฏิชีวนะได้ ข้อนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก
                แต่เมื่อมีความกังวลเกิดขึ้น ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นวิธีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ selectable marker ที่เป็นสารต่อต้านปฏิชีวนะ หรือบางกรณีก็สามารถนำยีนส่วนที่สร้างสารต่อต้านปฏิชีวนะออกไปได้ก่อนที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
                7. ความกังวลเกี่ยวกับการที่ยีน 35S promoter และ NOS terminator ที่อยู่ในเซลล์ของ GMOs จะหลุดรอดจากการย่อยภายในกระเพาะอาหารและลำไส้เข้าสู่เซลล์ปกติของคนที่รับประทานเข้าไปแล้วเกิด active ขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนในมนุษย์ ซึ่งข้อนี้จากผลการทดลองที่ผ่านมายืนยันได้ว่าไม่น่ากังวลเนื่องจากมีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่สุด
                8. อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังบ้างในบางกรณี เช่น เด็กอ่อนที่มีระบบทางเดินอาหารที่สั้นกว่า ผู้ใหญ่ทำให้การย่อยอาหารโดยเฉพาะ DNA ในอาหาร เป็นไปโดยไม่สมบูรณ์เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ ในข้อนี้แม้ว่า จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายค่อนข้างต่ำ แต่ก็ควรมีการวิจัยโดยละเอียดต่อไป
ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
                9. มีความกังวลว่าสารพิษบางชนิดที่ใช้ปราบแมลงศัตรูพืช เช่น Bt toxin ที่มีอยู่ใน GMOs บางชนิดอาจมีผลกระทบต่อแมลงที่มีประโยชน์ชนิดอื่นๆ เช่น ผลการทดลองของ Loseyแห่งมหาวิทยาลัย Cornell ที่กล่าวถึงการศึกษาผลกระทบของสารฆ่าแมลงของเชื้อ Bacillus thuringiensis (บีที) ในข้าวโพดตบแต่งพันธุกรรมที่มีต่อผีเสื้อ Monarch ซึ่งการทดลองเหล่านี้ทำในห้องทดลองภายใต้สภาพเงื่อนไขที่บีบเค้น และได้ให้ผลในขั้นต้นเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทดลองภาคสนามเพื่อให้ทราบผลที่มีนัยสำคัญก่อนที่จะมีการสรุปผลและนำไปขยายความ
                10. ความกังวลต่อการถ่ายเทยีนออกสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากมีสายพันธุ์ใหม่ที่เหนือกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ หรือลักษณะสำคัญบางอย่างถูกถ่ายทอดไปยังสายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือแม้กระทั่งการทำให้เกิดการดื้อต่อยาปราบวัชพืช เช่น ที่กล่าวกันว่าทำให้เกิด super bug หรือ super weed เป็นต้น ในขณะนี้มีการวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับการถ่ายเทของยีน แต่ยังไม่มีข้อยืนยันในเรื่องนี้
ความกังวลในด้านเศรษฐกิจ-สังคม
                11. ความกังวลอื่นๆ นั้นมักเป็นเรื่องนอกเหนือวิทยาศาสตร์ เช่น ในเรื่องการครอบงำโดยบริษัทข้ามชาติที่มีสิทธิบัตรถือครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับ GMOs ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร ตลอดจนปัญหาความสามารถในการพึ่งตนเองของประเทศในอนาคต ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงโดย NGOs และปัญหาในเรื่องการกีดกันสินค้า GMOs ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาของประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน
                แม้ว่าจะมีความกังวลอยู่ แต่ควรทราบว่า GMOs เป็นผลิตผลจากเทคโนโลยีที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่มนุษย์เคยคิดค้นมา ในประเทศไทยมีแนวปฏิบัติในเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับนักวิจัย (biosafety guidelines) ทุกขั้นตอน ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและในการทดลองภาคสนามเพื่อให้การวิจัยและพัฒนา GMOs มีความปลอดภัยสูงสุด และเป็นพื้นฐานในการประเมินความเสี่ยงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการประเมินความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องในแต่ละสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้านและรัดกุมที่สุด
                อย่างไรก็ดี กรณี GMOs เป็นโอกาสที่ดีในการที่ประชาชนในชาติได้มีความตื่นตัวและเร่งสร้างวุฒิภาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการตัดสินใจใดๆ ของสังคมควรเป็นไปโดยอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ และโดยขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือการให้ความสำคัญกับที่มาของข้อมูลและการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล มิใช่เป็นไปโดยความตื่นกลัว หรือการตามกระแส





(วารสาร รีดเดอร์ไดเจสท์ , 2553)
ผู้คัดค้านอาหารจีเอ็มโอแย้งว่า การให้อาหารแก่ผู้หิวโหยเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินและการเมืองมากกว่าเกษตรกรรม ประเทศโลกที่หนึ่งหรือประเทศอุตสาหกรรมมีอาหารเหลือเฟือ แต่ประเทศยากจนไม่มีเงินจะซื้ออาหารได้ สิ่งที่เรียกกันว่าปฏิวัติสีเขียวเมื่อช่วงทศวรรษ 1970 ควรจะกำจัดความอดอยากโดยใช้พืชสายพันธุ์ใหม่ๆแต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ความเป็นเจ้าของยังเป็นปัญหา เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ ไม่ใช่ในท้องไร่ท้องนาได้รับการจดสิทธิบัตรไว้ การนำไปใช้ประโยชน์ได้จะต้องมีใบอนุญาตและควบคุม แจ็กไฮน์มันน์ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยด้านความปลอดภัยชีวภาพซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรรีในนิซีแลนด์กล่าวว่าเรื่องนี้อาจส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารและยากจนที่สุดในโลกยิ่งล้าหลัง เขาอธิบายการควบคุมแหล่งเมล็ดพันธุ์โดยบริษัทเอกชนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์”
                ท้ายที่สุด เรายังคงต้องดูกันต่อไปว่า อาหารจีเอ็มโอจะสามารถหล่อเลี้ยงผู้คนได้มากกว่าในระยะเวลายาวนานกว่าเกษตรกรรมวิธีอื่น เช่น การทำไร่นาอย่างยั่งยืน จริงหรือไม่
ผลกระทบต่อสัตว์
ผู้เห็นต่างเป็นห่วงว่าอาหารจีเอ็มโอที่ใช้สัตว์เลี้ยง สัตว์อาจสร้างปัญหาสุขภาพที่ยังไม่ทราบในสัตว์ได้ เช่น วัวที่ได้รับฮอร์โมนเร่งโตจีเอ็มโออาจมีปัญหาการเติบโตหรือกระบวนการเผาผลาญ
                นอกจากจะไม่เข้าใจอย่างแท้จริงถึงผลกระทบของอาหารจีเอ็มโอที่มีต่อสัตว์เรายังต้องรอดูว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อมนุษย์หลังบริโภคสัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารจีเอ็มโอ
                ดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าไหม
                มีความกังวลเรื่องสิ่งมีชีวิตจีเอ็มโออาจหลุดรอดออกไปจากแปลงที่ปลูก งานวิจัยในแคนาดาเมื่อ ปี 2546 พบว่าต้นคาโนลาที่ไม่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมเกิดการปนเปื้อนด้วยยีนต้านยาปราบวัชพืชจากต้นคาโนลาจีเอ็มโอในแปลงใกล้เคียงยีนซึ่งกระจายจากสิ่งมีชีวิตจีเอ็มโอชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดที่มีสายพันธุ์ใกล้ชิดกันอาจทำอันตรายไร่ที่ปลูกพืชแบบดั้งเดิมได้
                                พืชจีเอ็มโอที่ต้านยาปราบวัชพืชอาจทำให้เกิดการระบาดของ ซูเปอร์วัชพืชจีเอ็มโอ” ซึ่งจะนำไปสู่การใช้สารพิษเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยอินทรีย์ สหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใย และศูนย์ความปลอดภัยทางอาหารรายงานในปี 2552 ว่า ในสหรัฐฯ การใช้พืชจีเอ็มโอที่ต้านวัชพืชส่งผลให้มีการใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                อนาคตของการทำการเกษตรกรรม
                พืชจีเอ็มโอเป็นอุตสาหกรรมไม่ใช่การกุศล มูลค่าทางการตลาดของพืชจีเอ็มโอทั่วโลกในปีนี้ประเมินว่าอยู่ที่ 8.3 พันล้านเหรียญ ผู้คัดค้านกังวลว่า ปัจจัยพื้นฐานอย่างแหล่งอาหารอาจตกอยู่ในกำมือบริษัทเอกชนที่ทรงอำนาจ
                ในการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม เกษตรกรเก็บเมล็ดจากพืชที่ปลูกไว้ทำพันธุ์ แต่บริษัทเอกชนพัฒนาเมล็ดพืชจีเอ็มโอที่จะสลายตัวเองและไม่สามารถเก็บไว้เพื่อปกป้องผลกำไรของบริษัท
                ผลกระทบต่อมนุษย์
                ผู้ค้านไม่เชื่อถือการับรองดังกล่าว ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านเกษตรกรรมยังยืน กรันพืช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า หน่วยงานที่พัฒนาพืชจีเอ็มโอมักอ้างเหตุผลสามประการคือช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการใช้สารเคมี และแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ในความเป็นจริงให้ผลตรงข้าม และเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภค ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะในอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอาจส่งผลให้คนที่กินมีอาการดื้อยาปฏิชีวนะ” ณัฐวิภากล่าวโดยอ้างผลงานวิจัยของสถาบันควบคุมคุณภาพการผลิตการเกษตรในเมืองวาเกนนีเกนประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทั้งหมดนี้ ปัจจัยเสี่ยงยังมีอยู่การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในตัวสิ่งมีชีวิต เรื่องที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ไหม คำตอบสั้นๆคือเรายังไม่ทราบ
                อาหารจีเอ็มโอระบุบนฉลากชันเจนพอหรือยัง
                กรีนพีชมองว่ากฎหมายดังกล่าวไม่สามารถปกป้องสิทธิของผู้บริโภคคนไทย แต่เปิดช่องให้กลุ่มนายทุนและนายทุนข้ามชาติงดเว้นขั้นตอนในการตรวจสอบการปนเปื้อนของอาหารจีเอ็มโอและการจัดทำฉลากไว้อย่างชัดเจน ผู้ผลิตเพียงเพิ่มคำว่า ดัดแปลงพันธุกรรมในรายการแสดงสัดส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่แทบไม่ได้สนใจดูรายละเอียด และแม้จะดูก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร”ณัฐวิภากล่าว
                                นอกจากนี้ ณัฐวิภากล่าวว่าภาครัฐยังขาดการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน จนเกิดความเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของพืชจีเอ็มโอ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจตามความต้องการของผู้บริโภค บวกกับฉลากที่ไม่มีสัญลักษณ์พอจะให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน จึงทำให้อาหารจีเอ็มโอกลายเป็นเรื่องตื่นตัวเฉพาะคนที่ห่วงสุขภาพและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอันตรายของพืชและอาหารจีเอ็มโออย่างใกล้ชิดเท่านั้น

(กัณฑรีย์ ศรีพงศ์พันธุ์ , 2543)
ผลเสียของ GMOs (Fegan. J., 1996)ได้สรุปผลกระทบในทางที่ไม่พึงปรารถนาจากสิ่งมีชีวิตที่ตัดแต่งพันธุกรรมว่าอาจเนื่องมาจากสาเหตุใหญ่ๆ 3 ประการ ได้แก่
                1. ยีนที่ถูกถ่ายเทเข้าไปอาจจะแสดงการทำงานที่ต่างไปเมื่อเข้าไปอยู่ในตัวผู้อาศัย (host) ตัวใหม่
                2. พันธุกรรมดั้งเดิมของตัวผู้อาศัยอาจถูกรบกวน
                3. ยีนของตัวผู้อาศัยเมื่อรวมกับยีนอื่นที่ใส่เข้าไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆที่คาดไม่ถึงได้ เช่น อาจทำให้เกิดสารบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งอาจเป็นอันตราย
                การบังคับให้เกิดกระบวนการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การถ่ายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งเข้าไปในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งโดยวิธีการทางพันธุวิศวกรรมนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น อาจโดยการผลิตสารพิษชนิดใหม่ขึ้นมาในระดับที่สูงจนทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ หรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมได้ อีกทั้งการถ่ายละอองเกสรข้าม (cross pollution) จะทำให้สารพันธุกรรมใหม่ๆนี้ จะข้ามไปสู่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นประเภทที่ใกล้เคียงกัน หรือทำให้เกิดการเข้าทดแทนกันของสิ่งมีชีวิตต่างๆในระบบนิเวศ ซึ่งสามารถจะทำให้สมดุลที่ละเอียดอ่อนของระบบนิเวศเสียไปได้ (ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อให้ช่วยในการผลิต ethanol แต่มันกลับทำให้เกิดสารตกค้างในดินและทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินเสียไป อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อพืชและสัตว์ด้วย)รวมทั้ง PSRAST (1999) กล่าวว่าจากการสังเกตการณ์จำนวนหนึ่งพบข้อบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่เป็นอันตรายและทำความเสียหายต่อระบบนิเวศซึ่งเป็นในแบบที่ไม่สามารถจะฟื้นตัวกลับคืนมาอย่างเดิมได้
                การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) เป็นอีกประเด็นที่หลายท่านกังวล ตัวอย่างเช่น นักกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัย Cornell ซึ่งนำโดย John E. Loseyได้ทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยให้หนอนผีเสื้อ Monarch กินใบ milkweed ที่มีละอองเกสรของ B.t.-modified corn อยู่ด้วยเข้าไป พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของหนอนผีเสื้อที่ทดลองตาย ซึ่งความเข้มข้นของละอองเกสรที่ใช้ทดสอบนี้ คาดว่าไม่มากกว่าความเข้มข้นที่ได้รับจากการถูกพัดพามาโดยลมหรือฝนจากต้นข้าวโพดที่กำลังออกดอก ซึ่งปลูกอยู่ในระยะห่างประมาณ 2-3 ฟุต (Scientific American Explore, 1999)
                
 
ภาพผีเสื้อ Monarch ซึ่งเป็นชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ (endangered species)และมี
รายงานว่าจากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า หนอนผีเสื้อชนิดนี้ที่กิน
ใบ milkweed ที่มีฝุ่นจากละอองเกสรของ B.t.-modified corn จะถึงตายได้

                นอกจากนี้ที่หลายคนกังวลกันมากเช่นกัน ได้แก่ กรณี gene pollution ซึ่งจะต่างไปจากกรณี        การปนเปื้อนของสารเคมีหรือนิวเคลียร์ เพราะว่ามันไม่สามารถจะถูกทำให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แต่ผลกระทบของพิษที่เกิดจากความผิดพลาดทางพันธุกรรมนี้จะส่งผลต่อไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นถัดๆไป
                นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าพบยีนที่ต้านทานต่อสารปฏิชีวนะในสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมแทบทุกชนิด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่ายีนนี้และผลผลิตเอนไซม์จะทำให้สารปฏิชีวนะไม่ว่องไวในการทำปฏิกิริยา
                ส่วนนมจากวัวที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมด้วยวิธีการทางพันธุวิศวกรรม (recombinant boving growth hormone-treated cow, rbGH-trated cows) จะมีระดับของ insulin growth factor (IGF1) เพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ จากผลการศึกษาของศาสตราจารย์ Arpad Puztaiแห่ง Aberdeen’s Rowett Institute ซึ่งได้ทดลองเลี้ยงหนู rats 5 ตัว ด้วยมันฝรั่งที่มีการตัดแต่งด้วยยีนจาก snowdrop และ jackbeanเป็นเวลา 110 วัน (เทียบได้กับประมาณ 10 ปีในมนุษย์) พบว่าการเจริญเติบโตของหนูทดลองจะลดลงเล็กน้อย ค่อนข้างจะอ่อนแอลง และเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่าพืชที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมควรจะต้องมีการทดสอบอย่างเข้มงวดก่อนที่มนุษย์จะนำไปบริโภค แม้ว่าการทดสอบจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและใช้เวลานาน แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถบอกถึงความแตกต่างได้
                ในกรณีของสารฆ่าวัชพืช Roundup®นั้น Wolfson (1997) กล่าวว่าเอกสิทธิ์ที่ใช้จดทะเบียนไว้ของบริษัท Monsanto จะหมดอายุในปี ค.ศ. 2000 ดังนั้นการสร้างพืชที่ถูกปรับปรุงให้ทนทานต่อสารตัวนี้จะช่วยให้บริษัทยังคงรู้สึกปลอดภัยในการขายสารฆ่าวัชพืชนี้ และเนื่องจากคาดว่าสารนี้จะย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกพืชตัดแต่งพันธุกรรมที่ทนต่อสาร Roundup® ก็อาจจะใช้สารนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าพืชดังกล่าวจะไม่ถูกทำลาย และอาจมีการสเปรย์สารนี้ลงไปโดยตรงบนพืชนี้ด้วย ซึ่งอาจมีผลกระทบจากละอองของสารนี้ต่อพื้นที่ที่อยู่ข้างเคียง อันจะเป็นการชักนำให้เกษตรกรอื่นๆ ต้องเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ตัดแต่งพันธุกรรมที่ทนต่อสาร Roundup®นี้ด้วย เพื่อให้พืชผลของตนสามารถต้านทานต่อละอองของสารนี้ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มการใช้สารนี้ในการเกษตรกรรม โดยที่สารนี้เป็นสารที่มีรายงานมากเป็นอันดับ 3 ว่าทำให้ผู้ที่ทำงานในฟาร์มใน California เจ็บป่วย และเป็นสารตัวที่พบบ่อยที่สุดว่าเป็นสาเหตุของผู้ที่เจ็บป่วยตายเนื่องจากสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ นอกจากนี้ยังมีรายงานจากการวิจัยหรือจากการสังเกตการณ์จำนวนหนึ่งที่กล่าวว่า Roundup®ไปขัดขวางกระบวนการ nitrogen fixation ในพืช และยังไปทำอันตรายต่อราที่ช่วยพืชดูดน้ำและธาตุอาหาร และมีการศึกษาพบว่าประมาณ 14-78% ของสารนี้ที่ใช้สเปรย์บนพื้นจะถูกพาไปกับดินที่สึกกร่อนออกมาและลงไปสู่น้ำผิวดิน

               








You Might Also Like

0 ความคิดเห็น: