สถานการณ์ของ GMOs ในประเทศต่างๆและในประเทศไทย
สถานการณ์ของ GMOs ในประเทศต่างๆและในประเทศไทย
(ปิยะศักดิ์
ชอุ่มพฤกษ์. 2543)
จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภค
พบว่า 97%
ของคนยุโรปต้องการให้มีการระบุฉลากอย่างชัดเจน 85% ไม่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ GMOs ในสหรัฐอเมริกา
จากการสำรวจโดยนิตยสาร Time เมื่อเดือนมกราคมพบว่า 81%
ของคนอเมริกันต้องการให้มีการติดฉลาก GMOs
กระแสการต่อต้านสินค้า
GMOs
ที่มีความรุนแรงในทวีปยุโรปเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดกระแสต่อต้านในเอเชีย
และสหรัฐอเมริกาตามมา
ปัจจุบันผู้ซื้อต่างเสนอและเรียกร้องขอหลักฐานเพื่อแสดงความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้ต่อรองทางการค้านั้นเป็น
Non-GMOs มากขึ้น และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของความต้องการระบบตรวจสอบและให้หลักประกันเพื่อยืนยันและให้ความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็น
Non-GMOs นั้นจะเก็บแยกออกจาก GMOs พร้อมๆ
กับมีผลรับรองทางวิทยาศาสตร์กำกับ
ผู้ผลิตอาหารหลักเช่น
Hain
Food Group Inc Gerber and Heinz Pepsi Co’sFrito-lay Unilever ต่างก็เริ่มกำหนดนโยบายไม่ใช้ผลิตภัณฑ์
GMOs ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในยุโรป ญี่ปุ่น
และสหรัฐอเมริกาเองเริ่มมีนโยบายหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีส่วนประกอบ GMOs ห้างเหล่านั้นได้แก่ TESCO Mark &SpencersSainbury’sAsdaMigros
Co-op ประเทศในสหภาพยุโรปมีข้อกำหนดให้ติดฉลากสินค้าที่มีเปอร์เซ็นต์
GMOs เกิน 1 % และอนุญาตให้นำเข้าเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
ขณะที่เกาหลีและญี่ปุ่นกำหนดมาตรฐานไว้ที่ 3 % และ 5
% ตามลำดับ
จากแนวโน้มดังกล่าว
ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการต่างๆ
รวมทั้งเกษตรกรไทยควรจะมองแนวโน้มนี้ให้ออก เพื่อการวางแผนการผลิต การส่งออก
และการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบที่สำคัญได้แก่
ข้าวโพด ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป เช่น ซอสมะเขือเทศ
ที่สำคัญจากแหล่งหลัก คือ สหรัฐอเมริกา อาเจนตินา บราซิล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น
GMOs
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบต้นตอในห่วงโซ่อาหารแปรรูป
อาหารเหล่านี้เริ่มเข้ามาปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารที่บริโภคภายในประเทศมากขึ้น
จากการสุ่มตัวอย่างถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่วางขายในเขตกรุงเทพมหานครปนเปื้อนด้วยถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรมในสัดส่วนที่สูง
ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบได้แก่ ถั่วเหลืองบรรจุถุง 1 กิโลกรัม
เต้าหู้แข็งปราศจากบรรจุภัณฑ์ เต้าหู้อ่อน น้ำนมถั่วเหลือง
และน้ำนมถั่วเหลืองบรรจุขวด และมีแนวโน้มว่าจะมีการแพร่กระจายไปยังจังหวัดต่างๆในประเทศ
นอกจากนี้ยังพบถั่วเหลืองพันธุ์พื้นเมือง มีโอกาสปนเปื้อนด้วยพันธุ์ GMOs ในสัดส่วนที่สูงด้วย
(วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร,2543)
สถานการณ์ GMOs ในไทยและประเทศต่างๆ และในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ GMOs
มากที่สุดในโลกโดยมีการวางจำหน่ายซอสมะเขือเทศและเนยแข็งที่มีส่วนประกอบของ
GMOs เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 อีกทั้งบริษัท Monsanto ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์
GMOs รายใหญ่ก็ถูกอ้างถึงว่ามีอำนาจการต่อรองในการเจรจากับรัฐบาล
ส่วนการติดฉลากบนผลิตภัณฑ์นั้นสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการให้ระบุฉลากหรือให้ระบุเพียงเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้แม้สหรัฐอเมริกาเองประชากรในบางพื้นที่ก็กำลังตื่นตัวและให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
GMOs มากขึ้น
แคนาดาเป็นอีกประเทศที่มีการเพาะปลูกและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ GMOs อย่างกว้างขวาง
โดยมีนโยบายติดฉลากเช่นเดียวกันกับอเมริกา
เกษตรกรในแคนาดากำลังประสบปัญหาว่าตลาดในสหภาพยุโรป (EU)
ไม่รับซื้อผลิตภัณฑ์ เนื่องจากขาดความมั่นในผลิตภัณฑ์ว่าอาจมีการปนเปื้อนด้วย GMOs
ผลิตภัณฑ์ GMOs
นับว่าถูกต่อต้านมากที่สุดในกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป
ซึ่งต้องการให้มีการระบุฉลากอย่างชัดเจนสำหรับผลิตภัณฑ์ ทุกชนิดที่ประกอบด้วย GMOs
อักทั้งยังมีข้อระเบียบที่เข้มงวดต่อการนำเข้าและการผลิตผลิตภัณฑ์ GMOs
ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ
ในประเทศเหล่านี้ก็หันไปให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดจาก GMOs เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่
การปลูกพืช GMOs ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ต้องได้รับอนุญาตโดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านอาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
โดยมีความด้องการให้อาหารที่แตกต่างจากอาหารชนิดเดียวกันที่ได้จากการผลิตโดยวิธีธรรมชาติติดฉลากและระบุว่าประกอบด้วย
GMOs และยังเห็นควรให้ติดฉลากด้วยสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่แน่ใจว่ามีส่วนประกอบของ
GMOs หรือไม่
ในกรณีของญี่ปุ่นการศึกษาวิจัยทางด้านนี้จะสามารถทำได้ตามแนวทางที่กำหนดไว้เท่านั้น
ส่วนการส่งผลิตภัณฑ์ GMOs มาจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นต้องแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ
GMOs ที่มรในผลิตภัณฑ์นั้นอย่างละเอียดโดยเฉพาะข้อมูลทางด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
โดยนำเสนอต่อกระทรวงเกษตรก่อนเพื่อพิจารณาและตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือไม่
ประชาชนและรัฐบาลญี่ปุ่นต่างต้องการให้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในฉลากหาผลิตภัณฑ์นั้นมรส่วนประกอบของ
GMOs
สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีกำหนด
4 มาตรการหลักสำหรับเรื่อง GMOs ไว้ดังนี้
1.มาตรการเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพในการวิจัยและพัฒนา
คณะอนุกรรมการกำหนดมาตรการความปลอดภัยในการทำงานด้านพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
ซึ่งจัดตั้งโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
ได้วางแนวทางให้ปฏิบัติตามความสมัครใจสำหรับการทดลองด้านนี้ไว้ 2ระดับ คือ
(1.1) ระดับห้องปฏิบัติการ
อันครอบคลุมถึงการทดลองเกี่ยวกับการสร้างหรือขยายจำนวน ไวรอยด์, ไวรัส, เซลล์ หรือ
สิ่งมีชีวิตใหม่จากการตัดแต่งพันธุกรรม
(1.2) ระดับภาคสนาม ครอบคลุมเฉพาะพืชและจุลินทรีย์ทุกชนิดจากการตัดแต่งพันธุกรรม
แต่ยังไม่ได้หมายรวมถึงการทดลองกับสัตว์จากการตัดแต่งพันธุกรรมด้วย
นอกจากนี้
กรมวิชาการเกษตรและคณะกรรมการลาวงด้นความปลอดภัยทางชีวภาพ (National Biosafety Committee, NBC) ก็ได้วางหลักการปฏิบัติในการนำเข้าเพื่อขออนุญาตทดสอบภาคสนามสำหรับภาครัฐและเอกชนทั้งในและนอกประเทศ
โดยกำหนดว่าต้องขออนุญาตนำเข้าต่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตร
ซึ่งครอบคลุมว่าต้องแนบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายยีนตามที่กำหนดไว้ เช่น
วิธีการทดสอบ ละวิธีการทำลาย ฯลฯ เป็นต้น และยังแนะนำให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้
NBC พิจารณาเพื่อเสนอความเห็นไปยังอธิบดีกรมวิชาการเกษตรต่อไปอีกด้วย
2. มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพด้านอาหาร
คณะกรรมการเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพด้านอาหารกำลังดำเนินการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับประเมินความปลอดภัยของอาหาร
GMOs โดยมีการเตรียมความพร้อมของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งงชาติ
ตลอดจนสนับสนุนภาครัฐและเอกชนในการวิเคราะห์และประเมินความปลอดภัยของอาหาร
GMOs
3.มาตรการเกี่ยวกับการนำเข้า
เพื่อป้องการอันตรายที่อาจเกิดการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ
ซึ่งรวมถึงกรณี GMOs ด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กำหนดให้พืชตัดแต่งพันธุกรรมเป็นสิ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติกักพืช
พ.ศ. 2507 (ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2537) ดังนั้นพืชตัดแต่งพันธุกรรมจำนวน 40 รายการจากทุดแหล่งซึ่งถูกกำหนดว่าเป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้า
ผู้ที่ประสงค์จะนำเข้ามาในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดละวิธีการที่คณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพด้านการเกษตรเห็นชอบ
โดย GMOs จะได้รับอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรให้นำเขาได้เพื่อการศึกษาและการวิจัยเท่านั้น
แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำไปปลูกในพื้นที่การเกษตร
มาตรการเชิงกำหมายด้านการควบคุมการนำเข้าและการส่งออกนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่ารอบคอบ
เนื่องจากคำนึงว่าจะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยด้วย
4.มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายในเชิงการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค
คณะอนุกรรมการนโยบายสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพได้รับการมอบหมายให้มีหน้าที่กำหนดนโยบายแห่งขาติเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพในแง่การผลิตการค้า
ความปลอดภัยของผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และหลักคุณธรรม จริยธรรม
ในเรื่องของการตรวจสอบ GMOs ในประเทศไทยนั้น ขณะนี้มีหน่วยงานต่างๆ
ที่สามารถดำเนินการด้านนี้ เช่น หน่วยปฏิบัติการ DNA Finger printing ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
และสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยกำแพงแสน
ผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการนี้เป็นที่ยอมรับจากนานชาติ
อีกทั้งค่าบริการก็ถูกกว่าต่างประเทศมาก
(โดยทางห้องปฏิบัติการนี้คิดค่าบริการการตรวจสอบเพียงตัวอย่างละ 1,600 บาท แต่หากตรวจสอบในต่างประเทศต้องเสียค่าบริการตรวจสอบถึงตัวอย่างละ 7,000-8,000
บาท)
0 ความคิดเห็น: