ข้อดีของอาหาร GMOs

11:53:00 Unknown 0 Comments



ข้อดีของอาหาร GMOs
(วารสาร รีดเดอร์ไดเจสท์ , 2553)
องค์การอนามัยโลกประเมินว่า โลกจะมีประชากรกว่าเก้าพันล้านคนในปี 2593 หรืออีก 40 ปีข้างหน้าผู้สนับสนุนกล่าวว่า เราต้องการอาหารจีเอ็มโอสำหรับเลี้ยงผู้คนมากมายขนาดนั้น พวกเขาบอกว่า พืชจีเอ็มโอให้ผลผลิตได้แม้ในสภาพอากาศรุนแรง เช่น ความแห้งแล้ง หรืออุณหภูมิสุดขั้ว ขณะลดการแผ้วถางผืนดินที่ต้องปลูก เทคโนโลยีพันธุกรรมอาจเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา คาเลสเซียส จูมา ผู้อำนวยการโครงการนวัตกรรมการเกษตรในแอฟริกาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าว
ผู้สนับสนันยังกล่าวว่าอาหารจีเอ็มโอสามารถคุ้มครองสุขภาพ ยกตัวอย่างข้าวสีทองซึ่งเป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรมที่ได้รับการทดสอบในสหรัฐฯโดยการผสมผสานข้าวพันธุ์นี้อยู่ที่การขาดวิตามินเออันเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในเด็กซึ่งเป็นภาวะที่ป้องกันได้
ผลกระทบต่อสัตว์
              ผู้ที่สนับสนุนระบุว่าพืชจีเอ็มโอเหมาะจะเป็นอาหารสัตว์อย่างยิ่ง เพราะมีราคาถูกกว่ามาก อันที่จริง มีการประเมินว่าอาหารสัตว์ทั่วโลกประมาณร้อยละ 90 มีพืชจีเอ็มโอเป็นส่วนประกอบ
                นอกจากนี้ในอนาคตยังอาจมีการนำเทคโนโลยีพันธุกรรมมาใช้กับสัตว์ให้สามารถต้านทานโรคทั่วไปได้มากขึ้น รวมถึงสัตว์ที่เราบริโภคด้วย
                ดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าไหม
                พืชจีเอ็มโอสามารถสร้างให้ทนยาปราบศัตรูพืชหมายความว่าชาวไร่ชาวนาสามารถพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ทำอันตรายพืชที่ปลูก การปลูกพืชจีเอ็มโอยังช่วยประหยัดเวลาเนื่องจากชาวไร่สามารถพ่นยาเป็นบริเวณกว้างทั่วแปลง
                พืชดัดแปลงพันธุกรรมบางชนิด เช่นข้าวโพด บีทีมียีนสำหรับสร้างสารฆ่าแมลงตามธรรมชาติ เชื้อบาซิลลัส ทูริงเยนซิส(บีที) เป็นแบคทีเรียที่ฆ่าตัวอ่อนแมลง ยีนบีทีจะถูกสกัดออกมาในห้องปฏิบัติการ แล้วนำไปถ่ายทอดเข้าสู่ข้าวโพด ทำให้ข้าวโพดมีสารไล่แมลงตามธรมชาติ ผู้สนับสนุนกล่าวว่าวิธีนี้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อต้นข้าวโพดและชาวไร่เองก็ไม่จำเป็นต้องพ่นยาฆ่าแมลงให้ข้าวโพด
                อนาคตของการทำการเกษตรกรรม
                เกษตรกรเก้าในสิบคนซึ่งปัจจุบันปลูกพืชจีเอ็มโอ อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ผู้สนับสนุนให้เหตุผลว่า ผลผลิตของเกษตรกรและกำไรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ชุมชนทั้งชุมชน สร้างงานใหม่ๆ และให้โอกาสทางการศึกษา
                ในไทย หลายหน่วยงาน เช่น กรมวิชาการเกษตร ต้องการผลักดันให้ทดลองปลูกและพัฒนาพืชจีเอ็มโอเพื่อช่วยเกษตรกรลดการใช้สารเคมีอันตรายโดยจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อพืชหลายชนิดที่มีปัญหาในการเพาะปลูก ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีเดิมๆในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพดร. บุญญานาถ นาถวงษ์ นักวิชาการไบโอเทค กล่าว พืชจีเอ็มโอทุกชนิดต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัยแล้ว ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
                ผลกระทบต่อมนุษย์
ลีเดียบุชต์มันน์แห่งสำนักงานมาตรฐานอาหารออสเตรเลียนิวซีแลนด์ อ้างว่า ทวีปอเมริกาเหนือบริโภคอาหารจีเอ็มโอในปริมาณมากกว่า10ปีโดยไม่มีผลเสีย ผลิตภัณฑ์ข้าวโพดคาโนลา และถั่วเหลืองในสหรัฐฯเกือบทั้งหมดเป็นพืชจีเอ็มโอ
                คริส ลีเวอร์ ศาสตร์ตราจารย์กิตติคุณด้านพฤกษศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กล่าวว่า การทดสอบอาหารจีเอ็มโอเข้มงวดกว่าการทดสอบอาหารชนิดอื่น และโอกาสที่สารก่อภูมิแพ้จะเข้าสู่ห่วงอาหาร มีน้อยมากจนเหลือศูนย์” เขาเสริมว่า ผู้ป่วยด้วยโรคซีลีแอกและโรคภูมิแพ้ต่างๆอาจได้ประโยชน์จากการพัฒนาในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ถั่วไร้สารก่อภูมิแพ้
                อาหารจีเอ็มโอระบุบนฉลากชันเจนพอหรือยัง
                กระทรวงสาธารณสุขไทยกำหนดให้ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดที่ได้จากเทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมหรือพันธุวิศวกรรมที่มีสารพันธุกรรมหรือโปรตีนที่มีผลจากการดัดแปลงพันธุกรรมนั้นอยู่ตั้งแต่ร้อยละห้าของแต่ละส่วนประกอบที่เป็นส่วนประกอบหลักสามอันดับแรกและแต่ละส่วนประกอบดังกล่าวนั้นมีปริมาณตั้งแต่ร้อยละห้าของน้ำหนักผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าที่ต้องแสดงฉลาก

(มธุรา สิริจันทรัตน์, ที่มา :http://digital.lib.kmutt.ac.th/magazine/issue4/articles/article2.html)



ประโยชน์ต่อเกษตรกร
                1. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนต่อศัตรูพืช หรือมีความสามารถในการป้องกันตนเองจากศัตรูพืช เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย แมลงศัตรูพืช หรือแม้แต่ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืช หรือในบางกรณีอาจเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนดินเค็ม ดินเปรี้ยว คุณสมบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น agronomic traits



                2. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเก็บรักษาเป็นเวลานาน ทำให้สามารถอยู่ได้นานวัน และขนส่งได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่เน่าเสีย เช่น มะเขือเทศที่สุกช้า หรือแม้จะสุกแต่ก็ไม่งอม เนื้อยังแข็งและกรอบ ไม่งอมหรือเละเมื่อไปถึงมือผู้บริโภค ลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็น agronomic traits เช่นเดียวกัน เพราะให้ประโยชน์แก่เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้า GMOs ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้อยู่ในจำพวก ข้อ 1 หรือข้อ 2 ที่กล่าวมานี้



ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
                3.ทำให้เกิดธัญพืช ผัก หรือผลไม้ที่มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นในทางโภชนาการ เช่น ส้มหรือมะนาวที่มีวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น หรือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ให้ผลมากกว่าเดิม ลักษณะเหล่านี้เป็นการเพิ่มคุณค่าเชิงคุณภาพ (quality traits)



                4. ทำให้เกิดพันธุ์พืชใหม่ๆ ที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น ดอกไม้หรือพืชจำพวกไม้ประดับสายพันธุ์ใหม่ที่มีรูปร่างแปลกกว่าเดิม ขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสันแปลกไปจากเดิม หรือมีความคงทนกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็น quality traits เช่นกัน



                GMOs ที่มีลักษณะที่กล่าวมาในข้อ 3 และข้อ 4 นี้ในบางประเทศเช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเริ่มมีจำหน่ายเป็นสินค้าแล้ว และคาดว่าจะมีความแพร่หลายมากขึ้นในช่วงหลายปีต่อจากนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ข้อ 1-4 นี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการลัดขั้นตอนของการผสมพันธุ์พืช ซึ่งในหลายกรณีหากช่วงชีวิตของพืชยาว ทำให้ต้องกินเวลานานกว่าจะได้ผลเนื่องจากต้องมีการคัดเลือกหลายครั้ง การทำ GMOs ทำให้ขั้นตอนนี้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก



ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม
                5. คุณสมบัติของพืชที่ทำให้ลดการใช้สารเคมี และช่วยให้ได้พืชผลมากขึ้นกว่าเดิมมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง วัตถุดิบที่มาจากภาคเกษตร เช่น กากถั่วเหลือง อาหารสัตว์จึงมีราคาถูกลง ทำให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขัน



                6. นอกจากพืชแล้ว ยังมี GMOs หลายชนิดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เอ็นไซม์ที่ใช้ ในการผลิตน้ำผักและน้ำผลไม้ หรือเอ็นไซม์ไคโมซิน ที่ใช้ในการผลิตเนยแข็งแทบทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก GMOs และมีมาเป็นเวลานานแล้ว



                7. การผลิตวัคซีนหรือยาชนิดอื่นๆ ในอุตสาหกรรมยาปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่ใช้ GMOs แทบทั้งสิ้น อีกไม่นานนี้เราอาจมีน้ำนมวัวที่มีส่วนประกอบของยาหรือฮอร์โมนที่จำเป็นต่อมนุษย์ ซึ่งผลิตจาก GMOs ลักษณะที่กล่าวถึง ตั้งแต่ข้อ 5-7ล้วนมีส่วนทำให้ลดต้นทุนการผลิตและเวลาที่ต้องใช้ลงทั้งสิ้น



ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม
                8. ประโยชน์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมคือ เมื่อพืชมีคุณสมบัติสามารถป้องกันศัตรูพืชได้เอง อัตราการใช้สารเคมีเพื่อปราบศัตรูพืชก็จะลดน้อยลงจนถึงไม่ต้องใช้เลย ทำให้มีลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช และลดอันตรายต่อเกษตรกรเองที่เกิดขึ้นจากพิษของการฉีดสารเหล่านั้นในปริมาณมาก (ยกเว้นบางกรณีเช่น พืชที่ต้านทานยาปราบวัชพืชที่อาจมีโอกาสทำให้เกิดแนวโน้มในการใช้สารปราบวัชพืชของบางบริษัทมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่)



                9. หากยอมรับว่าการปรับปรุงพันธุ์ และการคัดเลือกพันธุ์พืชเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสายพันธุ์ให้มากขึ้นแล้ว การพัฒนา GMOs ก็ย่อมมีผลทำให้เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพขึ้นเช่นกัน เนื่องจากยีนที่มีคุณสมบัติเด่นได้รับการคัดเลือกให้มีโอกาสแสดงออกได้ในสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น







(กัณฑรีย์ ศรีพงศ์พันธุ์. "การตัดแต่งทางพันธุกรรม : ชี้ประเด็น GMOs" วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร. 19-20(2) : 24-37; 2543.)



ข้อดีของอาหาร GMOs ในประเทศกำลังพัฒนา มีรายงานว่า GMOs บางชนิดสามารถต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดีขึ้น เช่น มันฝรั่งที่ดัดแปลงพันธุกรรมให้ต้านทานต่อแบคทีเรียและรา รวมทั้งข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกเปลี่ยนแปลงยีนกับยีนของถั่วเหลือง ซึ่งทำให้สามารถทนทานต่อปรสิตได้ดีกว่าข้าวพันธุ์เดิม (DeGregori, T.R.,ที่มา : http://www.biotechknowledge.com/snowlib_us.php3?2769)



                ปัญหาการขาดธาตุเหล็กที่ทำให้สตรีในประเทศกำลังพัฒนาเป็นโรค anemia อาจลดลงได้โดยการเสริมธาตุเหล็กเข้าไปในพืชผลที่เราปลูกโดยอาศัยวิธีการทางพันธุวิศวกรรม นอกจากนี้ ข้าวที่มีการเพิ่มวิตามินเอจะช่วยป้องกันเด็กๆจากโรคตาบอด (The Rockefeller Foundation, 1999) นอกไปจากที่พบการขาดวิตามินเอทำให้ร่างกายต้านทานต่อโรคต่างๆได้น้อยลง เช่น โรคหัด โรคท้องร่วง เป็นต้น (Abelson, P.H. and P.J. Hines, 1999) และยังสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการติดเชื้อของเด็ก (James, C. and A. Krattiger, 1999)



                การผลิตพืชที่ทนต่อความเค็มโดยอาศัยวิธีการทางพันธุวิศวกรรม จะช่วยให้สามารถนำดินเค็มไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรได้ และลดการใช้พื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ต้นไม้ใหญ่ และพืชอื่นๆ (Apse, M.P. และคณะ, 1999) นอกจากนี้ยาสูบที่มีการใส่ยีนที่สร้าง citric acid เข้าไปทำให้สามารถปล่อยสารดังกล่าวออกมาจากราก จึงสามารถเจริญในดินที่เป็นด่างได้ และสามารถให้ผลผลิตเท่าเดิมโดยใช้ปุ๋ยน้อยลง อีกทั้งยังมีการดำเนินการศึกษาทำนองเดียวกันนี้กับข้าวและข้าวโพด โดยที่จากการศึกษาเบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้ผลดีเช่นกัน (Holmes, B., 1999) หรืออีกตัวอย่างที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ การสร้างยีนและเอนไซม์ที่ช่วยให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีโลหะมาก อันจะเป็นการช่วยลดผลกระทบที่เนื่องมาจากการปนเปื้อนของโลหะหนักต่อพืชอื่นๆได้ด้วย (Moffat, A.S., 1999)



                การได้รับสารพิษจาก B.t. โดยทางผิวหนัง หรือการหายใจเข้าไปก็คาดว่าน่าจะเกิดได้น้อยสำหรับกรณีของพืชตัดแต่งพันธุกรรมจากยีนของ B.t. (the plant-pesticides) เพราะว่าสารดังกล่าวจะอยู่ภายในเซลล์พืช



                อีกทั้งมีการกล่าวถึงใน Scientific American Explore : Poison Plants (1999) ว่าพืชที่ต้านทานสารฆ่าวัชพืช Roundup®จะทำให้สามารถลดจำนวนครั้งที่ต้องกำจัดวัชพืชลง และไม่ต้องขุดดินบ่อย ทำให้ช่วยรักษาความชื้นในดินและลดการสึกกร่อนของดินชั้นบนที่มีประโยชน์



                นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า genetically altered Burkholderia (Pseudomonas) cepacia G4 และ PR1301ช่วยให้สาร trichloroethyleneใน aquifer microcosms ถูกย่อยสลายได้เพิ่มขึ้น (Munakata-Marr และคณะ, 1996)
                (Rippและคณะ, 2000) ซึ่งได้ทำการวิจัยและพบว่าจุลินทรีย์Pseudomonas fluorescens HK อันเกิดจากเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม และมี lux gene อยู่ด้วย สามารถทำให้เกิด bioluminescence ในดินที่มี bioavailability ของสารปนเปื้อนประเภทpolyaromatic hydrocarbon (เช่น naphthalene เป็นต้น) และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเฝ้าระวังและควบคุมกระบวนการย่อยสลายทางชีววิทยาของสารดังกล่าวในดินด้วย
                ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันก็มีรายงานว่า genetically modified Vibrio harveyl strains มีแนวโน้มที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตบ่งชี้ mutagenic pollution ในทะเลได้แม้ที่ระดับความเข้มข้นต่ำๆ ซึ่งความไวของการทดสอบจะได้ผลดีหรือไม่น้อยกว่าการทดสอบด้วยวิธี Ames test ที่ใช้อยู่เดิม อีกทั้ง V. harveylเป็นnonpathogenic bacterium จึงปลอดภัยที่จะนำมาใช้(Czyz, A. และคณะ, 2000)
                นอกจากนี้ยังมีรายงานที่น่าสนใจว่า Tg.AC transgenic mouse และ the p53-deficient mouse สามารถช่วยให้ตรวจสอบมะเร็งส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว (กล่าวคือใช้เวลาเพียง ¼ ของการตรวจสอบแบบเดิมๆ) ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยลง (กล่าวคือ เสียค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 1/10 ของการตรวจสอบแบบเดิม) และยังใช้จำนวนสัตว์ทดลองเพียง¼ ของจำนวนสัตว์ทดลองที่ใช้สำหรับการตรวจในแบบเดิม (Environmental Science and Technology, 1998)

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น: